เราเริ่มฝึกโยคะจากการที่ อยากออกกำลังกาย ไปสมัครฟิตเนส แต่ร่างกายไม่แข็งแรงพอ ยกเวทก็ไม่ไหว เทรนเนอร์ให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ วิ่งนิดเดียวก็เหนื่อย เห็นคลาสโยคะน่าสนใจเลยเข้ าไปลองฝึกดู หลังจากวันนั้นก็ 4 ปีแล้ว ไม่เคยห่างจากการฝึกโยคะอีกเลย โยคะเปลี่ยนแปลงเราทั้งร่ างกายที่แข็งแรงขึ้นอย่างเห็ นได้ชัด และจิตใจที่สงบมีสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ในคลาสฝึก อีกสิ่งที่ทำให้หลงรักโยคะคงหนี ไม่พ้นอาสนะที่สวยงาม ยิ่งเวลาเห็นกูรูเก่งๆโพสท่ าอาสนะสวยๆลงใน social media ก็อดที่จะเอามาก๊อปปี้ท่าถ่ายรู ปลง social บ้างไม่ได้ เวลามีคนมา comment ชื่นชมก็ดีใจ แต่หลังจากได้มาเรียนครูโยคะได้ รู้จักโยคะมากขึ้น จึงได้เรียนรู้ว่าการฝึกอาสนะที่ ดีประกอบด้วย “สถิร สุข° อสน°” สถิร คือ เสถียร สุข° คือ เป็นสุข พูดง่ายๆว่าการฝึกอาสนะนั้ นเราต้องอยู่ในท่าได้อย่างมั่ นคง และสบาย
แล้วคำถามว่าถ้าอย่างนั้ นเราจะฝึกโยคะท่ายากๆไปทำไม ทำไมเราทำท่ายากแล้วไม่เห็นจะมั่ นคงและสบายเลย หลังจากที่คิดหาคำตอบด้วยตั วเองอยู่นาน และนี่คือคำตอบจากความรู้อันน้ อยนิดของเราเอง
1. กว่าที่จะทำท่ายากได้ ผู้ฝึกโยคะหรือโยคีจะต้องผ่ านการฝึกฝนท่าง่ายๆที่ทำกันอย่ างสม่ำเสมออย่างเช่น ท่าไหว้พระอาทิตย์ต่างๆ ฝึกบ่อยๆฝึกมานาน จนมีร่างกายที่แข็งแรงถึงจะทำท่ ายากๆได้
2. นอกจากโยคีจะมีร่างกายที่ผ่ านการฝึกทั้งความแข็ งแรงและความยืดหยุ่นมามากแล้ว ยังต้องมีการฝึกจิต ฝึกสมาธิ และฝึกลมหายใจมาอย่างมาก ถึงจะทำท่าอาสนะยากๆหลายท่าได้
3. เมื่อคนเรามีทั้งร่างกายที่แข็ งแรง และจิตที่สงบนิ่งแล้ว การทำท่ายากๆก็คือการ challenge เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งร่ างกายและจิตใจให้เพิ่มมากขึ้น
แต่สุดท้ายแล้วเราต้องไม่ลืมว่ าการ challenge ความอยากทำท่ายากมันก็คืออัตตา ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความอยากเอาชนะขี ดความสามารถของตัวเอง ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็ นจริง ต้องยอมรับตนเอง รู้ตัวเองว่าในขณะนี้เราทำได้ แค่ไหน ไม่หักโหมดื้อรั้นจนเกินไป ต้องนึกถึงความปลอดภัยของตั วเองด้วย เราต้องไม่ลืมว่า ” การทำท่ายากได้ก็ไม่ได้แปลว่ าเราเหนือกว่าคนอื่น “