“นั่งลงน้ำหนักบนก้นสองข้างให้เท่ากัน” นี่คือคำพูดที่ครูโยคะพูดในคลาสแรกๆที่ไปเรียน นั่งหลับตาอยู่ ฟังสิ่งนี้ก็ตลกในใจว่า นั่งให้ลงน้ำหนักที่ก้นสองข้างให้เท่ากันนี่ต้องบอกด้วยเหรอ? มันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องลงน้ำหนักสองข้างให้เท่ากันอยู่แล้วไง จะมีใครนั่งแล้วน้ำหนักที่ก้นสองข้างไม่เท่ากันบ้าง??
ผ่านไปเจ็ดปีที่ฝึกโยคะอย่างสม่ำเสมอทุกอาทิตย์ มองย้อนกลับไปที่คนที่ตลกในใจคนนั้น ก็รู้ว่าเราในเจ็ดปีก่อนคือไม่รู้จักร่างกายตัวเองเอาซะเลย ด้วยกระดูกสันหลังคดที่เป็นมาแต่เด็ก เราก็คือหนึ่งในคนที่ไม่ได้ฝึกร่างกายและนั่งไม่เท่ากัน ไม่แน่ว่าที่จริงที่ครูพูดในห้องวันนั้น ไม่ได้พูดกับใครอื่น แต่พูดกับเรานั่นเอง
ตลอดระยะที่ฝึกโยคะมา ยิ่งโดยเฉพาะในปีแรกๆ เราพบว่ามีเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเองที่เราไม่รู้เยอะมาก ทำให้ใช้เวลาโฟกัสตัวเองมากขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจร่างกายตัวเองเยอะขึ้น ทำให้มีเวลาไปสนใจเรื่องข้างนอก เรื่องชาวบ้าน เรื่องที่ไม่ควรใช้เวลาไปสนใจ อย่างเรื่องลบๆน้อยลง
แล้วพอฝึกสม่ำเสมอ ร่างกายก็ค่อยๆแข็งแรงขึ้นเรื่องที่เคยทำไม่ได้ อย่าง Chaturanga ที่ลงไปแล้วค้างไม่ได้ ร่วงลงไปแปะกับพื้นตลอด สไลด์ขึ้นมาก็ไม่ไหว เราก็ค่อยๆเห็นพัฒนาการ ว่าถ้าตั้งเข่าไว้จะค้างไว้ได้ ผ่านไปอีกเดือน ค้างได้แบบเบาขึ้น ผ่านไปอีกเดือน ไม่ต้องตั้งเข่าก็ลงได้บ้างแล้ว ก็รู้ในใจเลยว่าทุกเรื่องถ้าเราตั้งใจ ฝึกฝน เราจะดีขึ้น แม้จะทีละเล็กละน้อย ซึ่งก็เอาไปปรับใช้ได้กับทุกๆเรื่องของชีวิต
ผ่านมาเจ็ดปีแล้วถ้าถามว่าฝึกโยคะแล้วได้อะไร ได้ six pack มั้ย ผอมมั้ย หน้าเด็กมั้ย ก็ไม่สามารถจะคอนเฟิร์มได้เพราะเอารูปเจ็ดปีก่อนมาเทียบ six pack ก็ยังไม่มา อ้วนขึ้นกว่าเดิมตามอายุ หน้าก็ไม่ได้เด็กเท่าเดิม แต่รู้สึกว่ามีสติอยู่กับตัวได้มากกว่าเดิม พาตัวเองออกจากความคิดลบได้เร็วกว่าเดิม ไม่ท้อถอยกับเรื่องอะไรง่ายๆเหมือนเดิม
อยากให้มาฝึกโยคะด้วยกันค่ะ
-หวาน-